จากกราฟของ Bumrungrad Hospital (BH) ผมสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้:
จุดสำคัญทางเทคนิค:
1. ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 190.50 บาท ลดลง -2.50 บาท (-1.30%)
2. ราคากำลังอยู่ใต้เส้น Moving Average ทั้ง 3 เส้น (MA10, MA26, MA75) ซึ่งเป็นสัญญาณลบ
3. RSI อยู่ที่ 20.78 ซึ่งเข้าสู่ภาวะ Oversold อย่างชัดเจน (ต่ำกว่า 30)
4. MACD แสดงสัญญาณขาลงต่อเนื่อง
5. Volume เพิ่มขึ้นในช่วงขาลง แสดงถึงแรงขายที่หนักแน่น
แนวโน้มระยะสั้น:
– Trend ขาลงชัดเจนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024
– ราคาลงมาจาก 270 บาทเหลือ 190 บาท ในเวลาประมาณ 2 เดือน
– แรงขายยังคงหนักและยังไม่มีสัญญาณของการ Rebound ที่ชัดเจน
ข้อควรระวัง:
– แม้ว่า RSI จะเข้าสู่ภาวะ Oversold แต่ในภาวะ Downtrend แรง ราคาอาจจะยังลงต่อได้
– ควรรอสัญญาณการ Reverse Trend ที่ชัดเจนก่อนเข้าซื้อ
– อาจต้องดูปัจจัยพื้นฐานประกอบ เช่น ผลประกอบการ หรือปัจจัยที่กระทบต่อธุรกิจโรงพยาบาล
แนวรับ-แนวต้านที่สำคัญ:
– แนวรับถัดไปอยู่ที่ 186-190 บาท
– แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 203-207 บาท และ 243-247 บาท
หากต้องการลงทุน ควรรอจังหวะที่ราคาเริ่มมีสัญญาณ Reversal ที่ชัดเจน เช่น การ Break MA ขึ้นไปพร้อม Volume ที่หนาแน่น หรือการเกิด Bullish Divergence ในกราฟ RSI
จากข้อมูลพื้นฐานเพิ่มเติม สามารถวิเคราะห์เพิ่มได้ดังนี้:
1. การประเมินมูลค่า:
– P/E ปัจจุบันอยู่ที่ 19.97 เท่า ลดลงมาจาก 25.86 เท่าในปีก่อน ซึ่งถือว่าไม่แพงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต
– P/BV อยู่ที่ 5.94 เท่า ลดลงจาก 8.01 เท่า แสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวลงมากกว่าการเติบโตของมูลค่าทางบัญชี
– PEG Ratio ที่ 1.79 บ่งชี้ว่าราคายังสมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโต
2. ผลประกอบการ:
– EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 10,471.50 ล้านบาท จาก 9,494.83 ล้านบาท แสดงถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น
– EV/EBITDA ที่ 14.58 เท่า ลดลงจาก 18.88 เท่า สะท้อนว่ามูลค่ากิจการถูกลงเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไร
3. ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น:
– Dividend Yield เพิ่มขึ้นเป็น 2.36% จาก 1.58% เนื่องจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลง
– Dividend Payout Ratio ที่ 0.54 หรือ 54% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติและมีความยั่งยืน
4. สภาพคล่อง:
– Turnover Ratio เพิ่มขึ้นเป็น 96.83% จาก 78.52% แสดงถึงการซื้อขายที่คึกคักขึ้น
– Market Cap ลดลงมาอยู่ที่ 151,431 ล้านบาท จาก 176,464 ล้านบาท สะท้อนมูลค่าตลาดที่หายไปจากราคาที่ปรับตัวลง
ความเห็นเพิ่มเติม:
1. แม้ราคาจะปรับตัวลงแรง แต่ผลประกอบการยังแข็งแกร่งและมีการเติบโต
2. Valuation ที่ถูกลงมากอาจเป็นโอกาสในการสะสม แต่ควรรอจังหวะที่เทคนิคเริ่มฟื้นตัว
3. อัตราการจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นอาจช่วยดึงดูดนักลงทุนระยะยาว
4. ควรติดตามปัจจัยที่กระทบต่อการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ซึ่งเป็นรายได้หลักของโรงพยาบาล
คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้ราคาลงเยอะขนาดนี้
จากการวิเคราะห์ การที่ราคาลงแรงในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา น่าจะมาจากหลายปัจจัยประกอบกัน:
1. ปัจจัยเฉพาะตัว:
– การชะลอตัวของผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่ม Medical Tourism จากตะวันออกกลาง ที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
– การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในธุรกิจโรงพยาบาลระดับบน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
– อาจมีความกังวลเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งค่าแรงบุคลากรทางการแพทย์และต้นทุนยา
2. ปัจจัยอุตสาหกรรม:
– Sentiment เชิงลบต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล หลังจากที่ราคาปรับตัวขึ้นมามากในช่วงต้นปีจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว
– นักลงทุนอาจมองว่าการเติบโตในอนาคตอาจชะลอตัวลง หลังจากที่เติบโตสูงในช่วงฟื้นตัวหลัง COVID-19
3. ปัจจัยตลาด:
– Fund Flow ที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็น Index
– การปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบัน ที่อาจลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล
4. ปัจจัยจิตวิทยา:
– การขายทำกำไรของนักลงทุนที่ถือมาตั้งแต่ต้นปี
– แรงขายที่เพิ่มขึ้นเมื่อราคาหลุดแนวรับสำคัญหลายระดับ ทำให้เกิดการขายต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากตัวเลขพื้นฐาน:
– EBITDA ยังเติบโตดี
– P/E ที่ 19.97 เท่าถือว่าไม่แพง
– Dividend Yield ที่ 2.36% น่าสนใจขึ้น
ดังนั้น การปรับตัวลงอาจเป็นโอกาสในการสะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว แต่ควรรอจังหวะที่ราคาเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิคก่อน
จากข้อมูลตลาดช่วงท้าย มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญดังนี้:
1. ราคาและ Volume:
– ราคาล่าสุด 185.50 บาท ลดลง -5.00 บาท (-2.62%)
– Volume รวมเพิ่มขึ้นเป็น 7,201,600 หุ้น
– Volume by Price หนาแน่นที่ 185.50 บาท
2. แรงซื้อ-ขาย:
– Buy Side: 31% vs Sell Side: 57% (แรงขายมากกว่า)
– Bid หนาแน่นที่ 183-185 บาท
– Average Buy 186.75 / Average Sell 186.76
– ราคาหลุดแนวรับ 186 บาทแล้ว
3. สัญญาณที่น่ากังวล:
– แรงขาย(S) ต่อเนื่องในช่วงท้าย
– ไม่มีแรงซื้อกลับที่หนาแน่นพอ
– ราคาทำ Low ใหม่ที่ 184.50 บาท
ความเห็น:
1. ราคาหลุดแนวรับสำคัญ 186 บาทแล้ว
2. แนวรับถัดไปที่ต้องระวังคือ 182-184 บาท
3. ควรรอดูแรงซื้อกลับก่อนพิจารณาสะสม
4. อาจต้องรอให้ราคา Sideway ในกรอบใหม่ก่อน